วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเพณีลอยกระทง

 ประเพณีลอยกระทง


                                            

         วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขี้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง

เหตุผลและความเชื่อของการลอยกระทง 

          สาเหตุที่มีประเพณีลอยกระทงขึ้นนั้น เกิดจากความเชื่อหลาย ๆ ประการของแต่ละท้องที่ ได้แก่ 

          1.เพื่อแสดงความสำนึกถึงบุญคุณของแม่น้ำที่ให้เราได้อาศัยน้ำกิน น้ำใช้ ตลอดจนเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงไปในน้ำ อันเป็นสาเหตุให้แหล่งน้ำไม่สะอาด

          2.เพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ และได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท

          3.เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เพราะการลอยกระทงเปรียบเหมือนการลอยความทุกข์ ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ให้ลอยตามแม่น้ำไปกับกระทง คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์

          4.เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล โดยมีตำนานเล่าว่าพระอุปคุตเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารได้ 

          5.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

          6.เพื่อความบันเทิงเริงใจ เนื่องจากการลอยกระทงเป็นการนัดพบปะสังสรรค์กันในหมู่ผู้ไปร่วมงาน

          7.เพื่อส่งเสริมงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อมีเทศกาลลอยกระทง มักจะมีการประกวดกระทงแข่งกัน ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เกิดความคิดแปลกใหม่ และยังรักษาภูมิปัญหาพื้นบ้าน

  ประเพณีลอยกระทงในแต่ละภาค 


         ลักษณะการจัดงานลอยกระทงของแต่ละจังหวัด และแต่ละภาคจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันคือ



                                                     ลอยกระทง


               ภาคเหนือ (ตอนบน) จะเรียกประเพณีลอยกระทงว่า "ยี่เป็ง" อันหมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่  (เดือนยี่ถ้านับตามล้านนาจะตรงกับเดือนสิบสองในแบบไทย) โดยชาวเหนือจะนิยมประดิษฐ์โคมลอย หรือที่เรียกว่า "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" โดยการใช้ผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ ให้โคมลอยขึ้นไปในอากาศ เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุตต์ ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า


ลอยกระทง


           ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ งานลอยกระทงจะเรียกว่า เทศกาลไหลเรือไฟ โดยจัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ทุกปีในจังหวัดนครพนม มีการนำหยวกกล้วย หรือวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเรือ และประดับไฟอย่างสวยงาม และตอนกลางคืนจะมีการจุดไฟปล่อยกระทงให้ไหลไปตามลำน้ำโขง



ลอยกระทง


                  ภาคใต้ มีการจัดงานลอยกระทงในหลาย ๆ จังหวัด เช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่มีงานยิ่งใหญ่ทุกปี


กิจกรรมในวันลอยกระทง          

         ในปัจจุบันมีการจัดงานลอยกระทงทุก ๆ จังหวัด ซึ่งจะมีกิจกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ แต่กิจกรรมที่มีเหมือน ๆ กันก็คือ การประดิษฐ์กระทง โดยนำวัสดุต่าง ๆ ทั้งหยวกกล้วย ใบตอง หรือจะเป็นกาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว ฯลฯ มาประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการบูชา ให้เป็นกระทงที่สวยงาม ภายหลังมีการใช้วัสดุโฟมที่สามารถประดิษฐ์กระทงได้ง่าย แต่จะทำให้เกิดขยะที่ย่อยสลายยากขึ้น จึงมีการรณรงค์ให้เลิกใช้กระทงโฟมเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนจะมีการดัดแปลงวัสดุทำกระทงให้หลากหลายขึ้น เช่น กระทงขนมปัง กระทงกระดาษ กระทงพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อให้ย่อยสลายง่ายและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม          



ลอยกระทง

ลอยกระทง

          เมื่อไปถึงสถานที่ลอยกระทง ก่อนทำการลอยก็จะอธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนาขอให้ประสบความสำเร็จ หรือเสี่ยงทายในสิ่งต่าง ๆ จากนั้นจึงปล่อยกระทงให้ลอยไปตามสายน้ำ และในกระทงมักนิยมใส่เงินลงไปด้วย เพราะเชื่อกันว่าเป็นการบูชาพระแม่คงคา

          นอกจากการลอยกระทงแล้ว มักมีกิจกรรมประกวดนางนพมาศอันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเพณีลอยกระทง และตามสถานที่จัดงานจะมีการประกวดกระทง ขบวนแห่ มหรสพสมโภชต่าง ๆ บางแห่งอาจมีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองด้วย

ลอยกระทง

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติเเละประเพณีวันลอยกระทง

วันลอยกระทง
ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง


กำหนดวันลอยกระทง

          วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขี้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง



 ประวัติความเป็นมาของวันลอยกระทง
ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน

          ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า 
          ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฎในหนังสือนางนพมาศที่ว่า

          "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..."

          เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต

ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต

      ในยุคแห่งสังคมข่าวสารเช่นปัจจุบัน การสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ยิ่งทวีความสำคัญมาก ขึ้นเป็นลำดับเครือข่าคอมพิวตอร์ให้แลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกันได้โดยง่าย ในปัจจุบันมี เครือข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงไปทั่วโลก ผู้ใช้ในซีกโลกหนึ่งสามารถติดต่อกับผู้ใช้ในซีกโลกหนึ่ง ได้อย่างรวดเร็วเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันในชื่อของ"อินเทอร์เน็ต"(Internet) จัดว่าเป็น เครือข่ายที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในยุคของสังคมข่าวสารปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตมีขอบข่ายครอบ คลุมพื้นที่แทบทุกมุมโลกสมาชิกในอินเทอร์เน็ตสามารถใช้คอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ที่จุดใด ๆ เพื่อส่งข่าวสารและข้อมูลระหว่างกันได้บริการข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมีหลากรูปแบบและมีผู้นิยมใช้ ้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน จากการคาดการณ์โดยประมาณแล้วปัจจุบันมีเครือข่ายทั่วโลกที่เชื่อมเข้าเป็น อินเทอร์เน็ตราว 45,000 เครือข่าย จำนวนคอมพิวเตอร์ในทุกเครือข่ายรวมกันคาดว่ามีประมาณ 4 ล้านเครื่อง หรือหากประมาณจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกคาดว่ามีประมาณ 25 ล้านคน และ มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เราจึงกล่าวได้ว่า อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายมหึมาที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ที่สุด มีการขยายตัวสูงที่สุด และมีสมาชิกมากที่สุดเมื่อเทียบกับเครือข่ายอื่นที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน พัฒนาการของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตมิได้เป็นเครือข่ายที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะเจาะจงหากแต่มี ประวัติความเป็นมาและมีการ พัฒนามาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การเกิดของเครือข่ายอาร์พาเน็ต ในปี พ.ศ.2512ก่อนที่จะก่อตัวเป็น อินเทอร์เน็ตจนกระทั่งถึงทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตมีพัฒนาการมา จากอาร์พาเน็ต ( ARPAnet ) ซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายใต้ การรับผิดชอบของ อาร์พา ( Advanced Research Projects Agency ) ในสังกัดกระทรวงกลาโห ของสหรัฐอเมริกาอาร์พาเน็ต ในขั้นต้นเป็นเพียงเครือข่ายทดลองที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นการสนับสนุนงานวิจัยด้านการทหารและ โดยเนื้อแท้แล้วอาร์พาเน็ตเป็นผลพวงมาจากการเมืองโลกในยุคสงครามเย็นระหว่างค่าย คอมมิวนิสต์และค่ายเสรีประชาธิปไตย ยุคสงครามเย็น ในทศวรรษของปีพ.ศ.2510 นับเป็นเวลาแห่งความตึงเครียดเนื่องจากภาวะ สงครามเย็นระหว่างประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์และค่ายเสรีประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศผู้นำ กลุ่มเสรีประชาธิปไตยได้ก่อตั้งห้องปฏิบัติการทดลองเพื่อค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านระบบคอมพิวเตอร์ช่วงท้ายของทศวรรษ 2510 ห้องปฏิบัติการวิจัย ในสหรัฐ ฯ และในมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆล้วนแล้วแต่มีคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยในยุคนั้นติดตั้งอยู่

คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะแยกกันทำงานโดยอิสระมีเพียงบางระบบที่ตั้งอยู่ใกล้กันเท่านั้นที่สื่อสารกันทางอิเล็กทรอนิกส์แต่ก็ด้วยความเร็วต่ำ ห้องปฏิบัติการหลายแห่งได้พัฒนาระบบสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น หากแต่ยังไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน ปัญหาและ อุปสรรคสำคัญ คือคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายจะต้องอยู่ในสภาพทำงานทุกเครื่องหากเครื่องใดเครื่องหนึ่งหยุดทำงานลง การสื่อสารจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้จนกว่าจะตัดเครื่องออกไปจาก เครือข่ายข้อจำกัดนี้ทำให้ระบบเครือข่ายไม่อยู่ในสภาพที่เชื่อถือได้และลำบากต่อการควบคุมดูแล โครงการอาร์พาเน็ต อาร์พาเป็นหน่วยงานย่อยของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ฯ ทำหน้าที่สนับสนุนงานวิจัยพื้นฐานทั้งด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ อาร์พาไม่ได้ทำหน้าที่วิจัยโดยตรงอีกทั้งยังไม่มีห้องทดลอง เป็นของตนเอง หากแต่กำหนดหัวข้องานวิจัยและให้ทุนแก่หน่วยงานอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชนที่ทำงานวิจัยและพัฒนา อาร์พาได้จัดสรรทุนวิจัยเพื่อทดลองสร้างเครือข่ายให้คอมพิวเตอร์สามารถแลก เปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ในชื่อโครงการ"อาร์พาเน็ต" ( ARPAnet ) โดยเริ่มต้นงานวิจัยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2512 รูปแบบเครือข่ายอาร์พาเน็ตไม่ได้ต่อเชื่อมโฮสต์ ( Host ) คอมพิวเตอร์เข้าถึงกันโดย ตรง หากแต่ใช้คอมพิวเตอร์ เรียกว่าIMP ( Interface Message Processors ) ต่อเชื่อมถึงกันทางสาย โทรศัพท์เพื่อทำหน้าที่ด้านสื่อสารโดยเฉพาะ ซึ่งแต่ละIMP สามารถเชื่อมได้หลายโฮสต์

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

การทำชั้นวางของ

ขั้นตอนการทำงาน ขั้นตอนที่ 1
เลือกไม้ที่ไสเรียบร้อยแล้วที่มีความหนา 1/2 นิ้ว กว้าง 6 นิ้ว ใช้ตลับเมตรวัดและขีดเส้นให้ได้ฉากเลื่อยขนาด 15 x 15 เซนติเมตร ด้วยเลื่อยลันดาหรือเลื่อยลอ จำนวน 6 แผ่น

ขั้นตอนที่ 2
ตอกตะปูขนาด ¾ นิ้ว ที่ปลายไม้โดยวัดเข้ามาจากปลายไม้ 1 เซนติเมตร 2 ตัวระยะห่างกันประมาณ 10 เซนติเมตร จำนวน 3 แผ่นรอไว้



ขั้นตอนที่ 3
ทากาวลาเทกซ์ที่หัวไม้อีกแผ่นและตอกประกบไม้สองแผ่นเข้าหากันโดยเช็คให้ได้ ฉากตลอด ทำตาม

ขั้นที่ 1- 3 จนครบ



ขั้นตอนที่ 4
ตอกส่งหัวตะปูให้จมในเนื้อไม้ด้วยเหล็กส่งหัวตะปูและอุดด้วยวัสดุที่มีสีเดียวกับไม้และขัดแต่งด้วยกระดาษทรายเบอร์ 2 และเบอร์ 0 ให้เรียบลูบจนเนียนมือ


ขั้นตอนที่ 5
ทาสีประเภทชแลคสำเร็จรูป ให้ผิวไม้เรียบเนียน โดยจะต้องรอแห้ง และขัดเรียบก่อนการทาเที่ยวต่อไป ทาชแลคสำเร็จรูป 2 เที่ยว ตามด้วยทาแลคเกอร์ 2 เที่ยว

การทำชั้นวางของ

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

ความหมายและประโยชน์ของงานประดิษฐ์

ความหมายงานประดิษฐ์



ความหมาย ของงานประดิษฐ์

งานประดิษฐ์หมายถึงประดิษฐ์ แปลว่า คิดทำขึ้น

งานประดิษฐ์ จึงหมายถึง การนำเอาวัสดุต่างๆ มาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อประโยชน์ใช้สอยด้านต่างๆ เช่น เป็นของเล่น ของใช้ หรือเพื่อความสวยงาม

ประโยชน์ของงานประดิษฐ์

1. ประหยัดค่าใช้จ่าย หากสามารถประดิษฐ์ชิ้นงานตามความต้องการได้

2. ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และได้สร้างงานที่มีคุณภาพ

3. ความเพลิดเพลิน ทำให้จิตใจจดจ่อต่อชิ้นงานที่ทำและมีสมาธิที่ดีต่อการทำงาน สามารถลดความเครียดได้

4. เพิ่มคุณค่าของวัสดุ เช่น เศษวัสดุ วัสดุท้องถิ่นและอื่น ๆ ทำให้มีมูลค่าและประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น

5. สร้างความแปลกใหม่จากที่มีอยู่เดิม ทำให้ไม่ซ้ำแบบเดิม มีการปรับปรุงและดัดแปลงให้เกิดประโยชน์มากขึ้น

6. ชิ้นงานตรงตามความต้องการ เพราะเป็นผู้ผลิตด้วยตนเองและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกวิธีและถูกต้อง

7. เป็นของกำนัลแก่ผู้อื่น ทำให้เห็นคุณค่าทางจิตใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

8. อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย เช่น มาลัย กระทงใบตอง แกะสลักผักและผลไม้ เครื่องแขวนและอื่นๆ เป็นต้น

9. เพิ่มรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นและตอบสนองความต้องการของชีวิตได้มากขึ้น

10. เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง ที่ประดิษฐ์ชิ้นงานได้อย่างมีคุณภาพ สวยงาม เป็นที่ ชื่นชอบและสนใจแก่ผู้พบเห็น


วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

                                   กรอบรูป
นี่เป็นกรอบรูปอีกแบบหนึ่งที่เห็นว่าสวยงามจึงได้นำมาลงไว้ให้เป็นแนวทาง เมื่ออ่านเข้าใจแล้วอาจจะดัดแปลงรูปแบบเป็นแบบของคุณเองไม่ซ้ำใครก็ทำได้ไม่ยาก กรอบรูปนี้ทำจากโลหะสองแผ่นที่มีความแวววาวดูตระการตา รูปแบบง่ายๆของรอยนูนตะปูที่มีจะให้ความรู้สึกถึง "การตอก" ลงบนพื้นผิวโลหะ คุณอาจดัดแปลงขนาด รูปร่างของกรอบรูปได้ตามความต้องการครับ อาจทำแบบใหญ่กว่านี้แล้วแบ่งโซนส่วนที่ติดรูปให้ติดได้หลายรูปก็สุดแท้แต่จะสรรสร้าง

เครื่องไม้เครื่องมือ
          
  1.      ผ้านุ่มผืนใหญ่  
  2.      ปากกาลูกลื่นที่หมึกหมดแล้ว
  3.         กรรไกร
  4.         ช๊อกเขียนผ้า
  5.         ฆ้อนเล็กสำหรับตอกตะปู
  6.         เหล็กหมาดหรือเหล็กแหลมสำหรับเจาะรู
วัสดุ
  1.        แผ่นทองแดงบาง มีขนาดกว้างมากกว่ารูป 1/2 นิ้ว
  2.        แผ่นอลูมิเนียมบางสำหรับทำลวดลาย
  3.        ตะปูทองเหลืองสำหรับตอกยึดและตกแต่ง
  4.        กรรไกรสำหรับตัดแผ่นทองแดง ไม่ควรนำกรรไกรตัดผ้ามาใช้เพราะกรรไกรจะเสียความคม
  5.        ยาขัดโลห
  6.        กรอบไม้เนื้ออ่อนขนาดอย่างน้อย 7 เซนติเมตรหรือ 2-1/2 นิ้ว 

วิธีทำ 


นำผ้านุ่มผืนใหญ่มาปูลงบนโต๊ะ วางแผ่นทองแดงลงบนผ้า 
นำกรอบรูปวางลงบนแผ่นทองแดงโดยให้ด้านหน้าคว่ำลง 
ใช้ปากกาลูกลื่นวาดเส้นทั้งขอบในและขอบนอกของกรอบรูป


ขีดเส้นด้านในกรอบรูปโดยให้ลึกจากขอบเข้าไป 1.5 เซนติเมตรหรือ 3/4 นิ้ว
สำหรับไว้พับเข้าด้านใน ตัดแผ่นทองแดงทั้งขอบนอกและขอบในด้วยกรรไกร
พับแผ่นทองแดงรอบๆขอบกรอบรูป
 ใช้เหล็กหมาดหรือเหล็กแหลมเจาะนำและตอกตะปูยึดให้เรียบยร้อย


ใช้ช็อกเขียนผ้าวาดใบไม้และดอกไม้ด้วย
ลวดลายแบบง่ายๆลงบนแผ่นอลูมิเนียม เสร็จแล้วตัดออกมา

นำดอกไม้และใบไม้ที่ได้วางลงบนผ้า วาดลายลงบนด้านหลังของดอกไม้และใบไม้ด้วยปากกาลูกลื่น



ลองจัดวางใบไม้ ดอกไม้ลงบนกรอบ
เมื่อได้ลักษณะตามต้องการใช้เหล็กหมาด
หรือเหล็กแหลมเจาะรูให้ทะลุจนถึงเนื้อไม้
แล้วยึดด้วยตะปูทองเหลือง












ทำการตกแต่งเพิ่มเติมโดยตอกติดตะปูทองเหลืองให้เป็นรูปดาว
 ใช้ผ้านุ่มๆเช็ดทำความสะอาดทั้งหมด ลงด้วยนำยาขัดโลหะอีกครั้ง




  นี่ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการตกแต่งครับ สวยงามทีเดียวและควรจะขายได้ราคาด้วย 









โคมไฟจากกะลามะพร้าว 1 

วัสดุที่ใช้ เครื่องมือและอุปกรณ์ 
1. กะลามะพร้าว 1. เลื่อยฉลุ 
2. หลอดไฟ สายไฟ ปลั๊กไฟ 2. สว่านเจาะ 
3. เทปพันสายไฟ 3. กระดาษทรายหยาบ 
4. ไม้อัดเหลือใช้ คอโคมไฟไม่ใช้แล้ว 4. กระดาษทรายละเอียด 
5. เครื่องยิงกาว 5. ดินสอ / วงเวียน 
6. สีไม้โอ๊ก 



ขั้นตอนในการทำ 
1. นำกะลามะพร้าวลูกที่ 1 ปลอกเปลือกให้หมด เจาะรูด้านล่าง 1 รูขนาดเส้นผ่าศูนย์ 
กลาง 1 ซ. ม วาดลวดลายเป็นหยดน้ำ 3 หยดขนาดใหญ่แล้วขัดกะลาให้เป็นมันเงา 
และทาสีไม้โอ๊กให้เรียบร้อย 
2. นำกะลาลูกที่ 2 ตัดครึ่งลูกทำเป็นฐาน เจาะรูตรงกลางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซ.ม 
และเจาะรูด้านข้างกะลาเพื่อติดสายไฟ และขัดมันให้เรียบร้อยทาด้วยสีไม้โอ๊ก 
3. นำชิ้นส่วนกะลาทั้ง 2 ส่วน ติดเข้าด้วยกันให้สนิทด้วยการยิงและนำสายไฟติด 
ปลั๊กไฟเข้าที่กลางฐานกะลาและสอดสายไฟเข้าด้านข้างของกะลาที่เจาะรูไว้เข้าทำ 
เป็นฐาน 
4. นำหลอดไฟติดเข้ากับหลอดไฟให้ถูกต้องแล้วตรวจสอบให้เรียบร้อย

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ชิชาริโต" ใช้หน้าจบสกอร์




    เปิดตัวได้สวยแม้จะแลกมาด้วยความรู้สึกเจ็บๆแสบๆที่ใบหน้าอยู่บ้างเล็กน้อยสำหรับ เจ้าถั่วน้อย "ชิชาริโต" ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ หอกดาวรุ่งแดนจังโก้ ทำประตูแรกแจ้งเกิดได้ในนัดแข่งอย่างเป็นทางการกับ "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกเอฟเอ คอมมูนิตี ชิลด์ ช่วยให้ทีมเอาชนะ "สิงห์บลูส์" เชลซี ไปอย่างเด็ดขาด 3-1 โดยท่านเซอร์ เฟอร์กี ได้ให้โอกาสเขาลงมาเล่นแมตช์นี้ในครึ่งเวลาหลังจนนาทีที่ 76 วาเลนเซีย เปิดบอลจากทางขวาของกรอบเขตโทษมาให้ "ชิชาริโต" วิ่งเข้ามาซัดด้วยเท้าขวาบอลแฉลบโดนใบหน้าตัวเองส่งลูกบอลพุ่งซุกก้นตาข่ายไปแบบมีโชค

ฮาเวียร์ "ชิชาริโต้" เฮอร์นันเดซ หรือ เจ้าถั่วน้อย หัวหอกดาวรุ่งทีมชาติเม็กซิโกกลายเป็นฮีโร่คนใหม่ของแฟนบอลแมนฯ ยูไปเสียแล้ว หลังจากยิงประตูในนัดที่ถล่มเชลซี 3-1 ศึกคอมมูนิตี้ ชิลด์




เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามอง เปิดตัวในชุด ผีแดงได้อย่างร้อนแรง พร้อมที่จะสร้างสีสันให้กับพรีเมียร์ ลีกในฤดูกาลใหม่



คำว่า "ชิชาริโต้" มีความหมายว่า "ถั่ว" ในภาษาเม็กซิกัน



ย้ายจากทีมกัวดาลาฮาร่า ทีมดังเม็กซิโก มาอยู่ชายคาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเมื่อ 1 ก.ค. 2010



เกิดเมื่อ 1 มิ.ย. 1988 ที่เมืองกัวดาลาฮาร่า ประเทศเม็กซิโก



ช่วงตระเวนอุ่นเครื่องที่สหรัฐ "ชิชาริโต้" เล่นได้ประทับใจป๋าเฟอร์กี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ผีแดงอย่างมาก



"ป๋าเฟอร์กี้" ถึงกับเอ่ยปากชมไม่ขาด



ในเกมที่ผีแดงถล่มเชลซี 3-1 คว้าโล่คอมมูนิตี้ ชิลด์ที่สนามเวมบลีย์ได้ บ่งบอกศักยภาพจอมถล่มประตูของ "เจ้าถั่วน้อย" เป็นอย่างดี



เริ่มเล่นให้กับทีมกัวดาลาฮาร่าของเม็กซิโก ประเดิมสนามครั้งแรกเมื่อปี 2006



เล่นไปทั้งหมด 79 นัด ยิงรวม 29 ลูก



ไม่ธรรมดาเลยสำหรับดาวรุ่งคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นมาอยู่ชุดใหญ่



"ชิชาริโต้" ถอดแบบมาจากฮาเวียร์ เฮอร์นันเดซ กูเตียร์เรซ ซีเนียร์ พ่อของเขาซึ่งเคยเป็นศูนย์หน้าระดับตำนานทีมชาติเม็กซิโก เคยเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1986 ที่เม็กซิโกเป็นเจ้าภาพด้วย



ฟอร์มเจ๋งอย่างนี้ ศูนย์หน้ารุ่นพี่อย่างไมเคิล โอเว่น, ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ และเวย์น รูนีย์ จอมเสเพลระวังให้ดี



อีกไม่นาน "เจ้าถั่วน้อย" จะแซงหน้าเป็นดาวยิงเบอร์ 1 ของผีแดง